มอ 6/5 ปากหมา ท้าผี 3 เรื่องย่อ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเด็กเกรียนม.6/5 ได้เรียนจบม.6รวมถึงรุ่นน้องอย่าง เน็ท กับ ไบรอัน ที่ได้เลื่อนชั้น พวกเขาได้รวมตัวกันเพื่อออกเดินทางไปเที่ยวกันที่ภูเก็ต เมื่อไปถึงภูเก็ตพวกเขาก็กางเต็นท์นอนกินบรรยากาศกันที่ริมทะเล แต่อยู่ดีๆก็มีพายุฝนพัดมาอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาต้องหนีพายุไปหลบฝนกันที่โรงแรมร้างเพื่อรอฝนหยุด
MovieHD ดูหนังออนไลน์ ดูหนัง หนังไทย หนังฝรั่ง หนังการ์ตูน มอ 6/5 ปากหมา ท้าแม่นาค หนัง18+ หนังเอเชีย ซีรี่ย์เกาหลี Movie HD หนังชนโรง เลือกชมภาพยนต์เรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย ที่ หมวด หนังไทย สุดยอดภาพยนต์ออนไลน์คุณภาพจาก เรา SLOTXO
กลุ่มเด็กเกรียนทั้งหมดได้เผลอหลับไปในห้องห้องหนึ่งในโรงแรม นิกหัวหน้ากลุ่มได้ฝันว่าพวกเขาเจอสึนามิ นิกสะดุ้งตื่นมาโวยวายเสียงดังทำให้ทุกคนตื่นกันหมด แล้วจู่จู่ทีวีก็เปิดเองเป็นข่าวของสึนามิ พวกเขาดูได้สักพักทีวีก็ดับไฟในห้องก็ดับ ทั้งกลุ่มต่างถามนิกว่าได้ไปท้าทายอะไรอีกรึป่าว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นิกที่ปากหมาท้าแต่กลายเป็น เน็ท และ ไบรอัน คู่จิ้นตัวแสบที่อยากลองปากหมาท้าทายดูบ้าง เน็ทหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากะจะเปิดไฟ แต่กล้องมือถือดันถ่ายรูปเอง ทางเข้าpg
ซึ่งรูปที่เขาเห็นเป็นห่อศพที่วางอยู่เต็มห้อง ทั้งหมดฉายไฟดูก็เห็นห่อศพอยู่เต็มห้องเหมือนในรูป ทั้งหมดจึงวิ่งหนีออกมาก็ยังเจอห่อศพเต็มทางเดินโรงแรมไปหมด พวกเขาวิ่งหนีผีหาทางออกไปทั่วจนมาเจอเข้ากับกลุ่มวัยรุ่น3คนที่มาส่องผีที่ตึกร้างแล้วหาทางออกไม่เจอ 3คนนั่นก็คือพี่ดอ,ไอ้ฮิ่นและไอ้อี๊ตทั้ง3ได้เล่าถึงประวัติความน่ากลัวของตึกร้างแห่งนี้ให้กับเด็กๆฟัง แต่ยังไม่ทันเล่าจบผีก็ออกมาหลอกพวกเขาอีกทำให้พวกเขาต้องหนีหาทางออกกันวุ่นวาย…
เป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวกับกรณีที่นายอานนท์ มิ่งขวัญตา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “พจน์ อานนท์” ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ใช้ชื่อแฟนเพจ “นนนี่ ขี้ไม่ราด” เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา
สาเหตุที่ต้องมีการฟ้องร้องกันดังกล่าวทางเจ้าตัวได้เปิดเผยว่าก็เนื่องมาจากการที่อีกฝ่ายนั้นได้มีการโพสต์คลิปหมิ่นประมาทตนเองในฐานะผู้กำกับภาพยนต์เรื่อง “มอ 6/5 ปากหมาท้าผี 3” อย่างเสียๆ หายๆ ในลักษณะทำนองว่าตนไม่มีความสามารถในการทำหนัง ไม่มีฝีมือ ทำหนังทุนต่ำมาหลอกเอาเงินคนดู ฯ ซึ่งทำให้ตนและบริษัทผู้สร้างเสียหาย ทั้งๆ ที่ผู้โพสต์นั้นยังไม่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
โดยผู้กำกับคนดังยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้ตนจะรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะยื่นเรื่องเอาผิดอีกฝ่ายทั้งทางแพ่งและทางอาญาและจะขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด รวมถึงใครก็ตามที่มีการโพสต์คลิปตลอดจนข้อความในลักษณะนี้หากมีหลักฐานตนก็จะเอาเรื่องด้วยเช่นกัน
กับข่าวที่ออกมา ทำให้ในโลกโซเชียลเองได้มีการแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้กันอย่างมากมาย โดยบางส่วนก็เห็นด้วยกับการกระทำของผู้กำกับภาพยนตร์ ขณะที่บางส่วนก็มองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและมองว่าเป็นการริดรอนสิทธิ์ในการที่จะแสดงความคิดความเห็น ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เส้นกั้นระหว่างการใช้ถ้อยคำ-ข้อความที่ถูกมองว่าเป็นการแสดงความเห็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ กับถ้อยคำ-ข้อความอาจจะเข้าข่ายเป็นการดูหมิ่นประมาทนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาถามหามาตรฐาน
จากใจผู้ถูกด่า?
“คือพี่ไม่ใช่คนพิจารณานะ ตำรวจกับทนายความต่างหากที่จะเป็นคนพิจารณาว่าแบบไหนฟ้องได้ฟ้องไม่ได้ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นทางตำรวจกับทนายเขาก็บอกว่าแบบนี้มันฟ้องได้…” คำบอกเล่าจาก “พจน์ อานนท์” ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ตกเป็นข่าวเปิดเผยกับทีม Super บันเทิง
“ที่ผ่านมาๆ ที่เราไม่ฟ้องเพราะเราไม่อยากไปมีปัญหา แต่อย่างตอนนี้มันเยอะเกินไปก็ทนไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่นคุณยังไม่ได้ดูหนังแล้วคุณไปพูดชวนคนอื่นว่าอย่ามาดูเลยหนังเรื่องนี้ อันนี้ฟ้องได้ ตำรวจบอกฟ้องได้เป็นลักษณะของการพูดในเชิงที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพราะว่าตำรวจเขาสืบได้อยู่แล้วว่าคุณไปดูหนังเรื่องนี้หรือไม่ได้ดู”
“คือหนังยังไม่ทันจะฉายเลยแต่คุณมาด่าแล้ว พจน์ อานนท์เลิกทำหนังเถอะ พจน์ อานนท์ไม่มีความสามารถ พจน์ อานนท์ไม่รู้จักพัฒนาฝีมือ พจน์ อานนท์หลอกเงินคนดู ทำหนังแค่ล้านเดียวกินกำไรตั้ง 39 ล้าน อย่างนี้พูดไม่ได้นะ เพราะหนังผมลงทุนตั้ง 20 กว่าล้าน แล้วมาพูดเอาเงินเข้า 39 ล้านนะ คุณก็ผิดแล้ว คุณบอกว่าไม่พัฒนาคุณไปดูหนังหรือยัง หรืออย่างคุณพจน์ไม่มีฝีมือ ไม่มีความสามารถ ไม่มีแต่ผมยังทำหนังมาได้ยังไงตั้ง 27 เรื่องแล้ว”
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่าการฟ้องในลักษณะเช่นนี้แง่หนึ่งมันก็ทำให้ใครหลายคนมองว่าตกลงตัวผู้กำกับคนนี้จะไม่ยอมรับในเสียงวิจารณ์ทางด้านลบของคนอื่นๆ ที่มีต่อผลงานของตนเองเลยหรือ? เรื่องนี้เจ้าตัวเผยว่าพูดถึงงานตัวเองได้ แต่ต้องแยกแยะระหว่างการวิจารณ์กับด่า
“พูดถึงได้ แต่มันต้องแยกแยะกันนะระหว่างวิจารณ์หรือด่า อย่างถ้าบอกหนังส้นตีนแบบนี้มันอะไรล่ะ เป็นคุณๆ โกรธมั้ย แบบนี้เรียกว่าวิจารณ์ตรงไหน…”
(ผู้สื่อข่าว) แล้วถ้าเกิดมีคนไปดูหนังมาแล้วมาพิมพ์มาโพสต์บอกประมาณว่า หนังห่วยจัง แบบนี้ล่ะ?
“คุณก็ต้องบอกว่ามันห่วยยังไง คุณจะวิจารณ์คุณก็ต้องมีความรู้ ถ้าคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนังเลย คุณก็มั่วสิอย่างนั้น…”
เชื่อคนที่ด่าไม่ใช่แฟนหนังตนเอง ก่อนบอกเจ้าหน้าที่รู้ตัวคนที่ปล่อยคลิปแล้ว ตอนนี้ตนกำลังให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมจะยื่นอาทิตย์หน้า รวมถึงกำลังดูด้วยว่ายังมีข้อความไหนที่เข้าข่ายลักษณะเดียวกันอีก
“เห็นเจ้าหน้าที่ว่ากำลังตามตัวอยู่นะ ตอนนี้ก็ให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด อาทิตย์หน้าจะยื่น แล้วก็กำลังดูอยู่ว่าข้อความไหนที่มันด่าๆๆ ด่าที่แบบนังไม่ทันดูหนัง คือพวกนี้เราก็จะเอาให้เจ้าหน้าที่ดู ถ้าเขาเห็นว่าฟ้องได้ก็จะฟ้องเลย แจ้งจับก็แจ้งจับ ผมไม่สนใจหรอก ทีคุณยังด่าผมเลย”
“ก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ทีบริษัทอื่นเขาไม่ค่อยโดน สังเกตดู ผู้กำกับมีตั้ง 50-60 คน มารุมด่าแต่เรา ก็งงว่าพี่ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อนหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่รู้จักผู้กำกับคนอื่นๆ ผมไม่ได้อะไรหรอก ไม่อยากมีเรื่องเลย ปล่อยมาตั้ง 20-30 ปี แต่รำคาญ โดนด่าแบบผม โดนด่าทุกวัน โดนด่าอย่างไม่มีเหตุผลน่ะ แล้วคนที่เสียหายคือบริษัทที่เขาสร้างหนัง”
“คือจะตามล้างตามผลาญไปจนตายเลยหรือ ก็ไม่ไหวก็ต้องเอาเสียหน่อย แน่นอนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดหรือแสดงความเห็น แต่คนที่ถูกพาดพิงเขาก็มีกฏหมายที่จะถูกคุ้มครองอยู่เช่นกัน”
…
แบบไหนเรียกวิจารณ์?
ขณะที่ทางด้าน “หมู สุภาพ หริมเทพาธิป” บรรณาธิการ นิตยสาร BIOSCOPE หนึ่งในผู้คลุกคลีอยู่กับแวดวงภาพยนตร์มานานแสดงทัศนะคติว่า ในการแสดงความเห็นที่เป็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะด้วยการใช้ถ้อยคำที่เรียบร้อยหรือรุนแรงนั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องดูกันที่เรื่องของเหตุผล เจตนา และประโยชน์ที่จะตามมาเป็นหลัก
“กรณีทีเกิดต้องถือว่าเป็นครั้งแรกของบ้านเรานะที่มีการฟ้องร้องในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเราสนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นะ แต่คือมันต้องดูท่าทีของคนพูดด้วย ถ้าพูดหรือด่ากันแบบไม่ไมีเหตุมีผลเลยมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นน่ะ ตัวคนทำหนังเองก็ไม่รู้ว่าข้อดี-ข้อด้อยของตนเองคืออะไร ตรงนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยิ่งมาด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรด้วยมันก็ไม่มีใครอยากฟัง”
“แต่ถ้ามองกันในแง่ของการวิจารณ์ มันต้องมีเจตนาที่ดี เป็นการวิจารณ์เพื่อให้งานมันเกิดการสร้างสรรค์ ซึ่งมันก็อาจจะมีทั้งที่ปากดี ปากร้าย แต่ละคนแตกต่างกันไป ตรงนี้เราก็เห็นด้วยและก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่ไม่น่าจะต้องไปปิดกั้นอะไร แต่ทั้งนี้ด้วยความที่ปัจจุบันที่โลกโซเชียลมันเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่าคนกล้าจะด่ามากขึ้น คือจริงๆ ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่เราคุยกันด้วยคำหยาบๆ นั่นแหละ”
“เพียงแต่ตอนนี้ถ้ามันไปปรากฏบนพื้นที่ๆ มันเป็นพับบลิค(Public) เพราะฉะนั้นคนพูดเองก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือพิมพ์ด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปด่าเขาซึ่งๆ หน้า เราก็โดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้ เพราะฉะนั้นต้องยอมรับกันในตรงนี้ทั้งสองฝ่าย”