ดูหนัง Who 2020 ปิดป่าหลอน (2020)
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่ถูกท้าทายจากรุ่นพี่ให้เข้าไปผจญภัยในป่าที่ถูกปิดเพราะมีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น เมื่อนักศึกษากลุ่มนี้เข้าไปก็ถูกฆ่าตายทีละคนโดยไม่รู้สาเหตุและฆาตกร ผู้ที่รอดต่างอยู่ด้วยกันอย่างหวาดผวาและระแวงกันเอง
MovieHD ดูหนังออนไลน์ ดูหนัง หนังไทย หนังฝรั่ง หนังการ์ตูน หนัง18+ Happy New You หนังเอเชีย ซีรี่ย์เกาหลี Movie HD หนังชนโรง เลือกชมภาพยนต์เรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย ที่ หมวด หนังไทย สุดยอดภาพยนต์ออนไลน์คุณภาพจาก เรา SLOTXO
เมื่อรุ่นพี่หน้าแพ้น้ำประปาคิดจะพารุ่นน้องนักศึกษาไปลองดียังป่าที่ได้ชื่อว่าไม่มีใครได้กลับมา เพราะขนาดคนที่มาฟังยังย้ำกันประมาณ 8 รอบ แต่จะด้วยความคึกคะนองหรือเชื่อคนง่ายก็ไม่ทราบเลยทำให้เหล่าคณะนักศึกษาวัยรุ่นทั้ง เปี๊ยก (ชาลี ปอทเจส) หนุ่มติสต์ที่แอบหลงรัก เอ (ภานุมาศ สุวรรณ์) สาวจิตใจดีที่ชอบเป็นกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นที่หมายปองของ อ๊อด (ภูวนันท์ รอดพลับ) หนุ่มกร่างไร้สาระ, ออย (วรชัย ศิริคงสุวรรณ) หนุ่มหล่อที่มาเออออตามเพื่อน คาสิโนออนไลน์
ด้านสาว ๆ นอกจากเอแล้วยังมี แป้งร่ำ (กัลยกร โตกุล) สาวที่ชีวิตมีแต่การเติมแป้งอยู่ร่ำไปเหมือนชื่อ, กีตาร์ (พรหมพร พรหมมาภิรมย์) สาวที่มือสั่นทุกครั้งเวลากล้องจับภาพของเธอและ จูน (นาตาชา มณีสุวรรณ์) สาวเอ็กซ์แตกที่แต่งตัวมาเดินป่าด้วยเสื้อเอวลอย
จากความอยากลองดีสู่การเจอดีตั้งแต่ฝุ่น PM 2.5 ที่มาเวลคัมพวกเขาสู่ทริปเดินไปพักไปและเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายเมื่อเพื่อนของพวกเขาเริ่มทยอยโดนน้ำแดงราดคอไปทีละคน พวกเขาจะรอดจากมดขึ้นเอ้ย..อาถรรพ์จากสิ่งลี้ลับ ลับ ๆ ล่อ ๆ ได้หรือไม่ มาลุ้นกันว่ามันจะตายกันหมดหรือคนดูจะตายก่อน..
บอกก่อนเลยว่าการเอาตรรกะการดูหนังแบบทั่วไปไม่อาจใช้วิจารณ์หนังเรื่องนี้ได้จริง ๆ เพราะสิ่งที่ผู้สร้างหนังอย่าง กรภัทร์ ทั่งศรี ต้องการสื่อสารกับคนดูนั้นจำต้องตีความในระดับที่ลึกกว่าคอลาเจนดี ๆ จะกระทำกับผิวหนังเสียอีก ลำพังแค่การเล่าเรื่องผ่านโครงเรื่องแบบตระกูลหนังเขย่าขวัญหรือทริลเลอร์ กรภัทร์
ก็ปั่นหัวคนดูให้เดาทางไม่ถูกเสียแล้ว คือฉากที่ไล่ฆ่ากันแทนจะที่ทำให้รู้สึกเสียว ๆ ลุ้น ๆ หนังก็ดันทำให้เราต้องระเบิดเสียงหัวเราะจนต้องละอายแก่บาปที่ไปล้อชะตากรรมตัวละคร ส่วนฉากตลกที่หนังตั้งใจให้คนดูฮาก็ต้องเสียวสันหลังและต้องตั้งคำถามกับชีวิตที่ผ่านมาตลอดเวลาว่าจะขำตรงไหน จังหวะไหนของหนังที่ต้องขำบ้าง ซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราต้องเจอทุกเมื่อเชื่อวันโดยเฉพาะการรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง
ที่สำคัญ กรภัทร์ ยังปั่นหัวคนดูกระเจิงตั้งแต่หน้าหนังที่ทำพยายามทำให้เรานึกถึงหนังไล่เฉือดและภาพในหัวคนดูก็เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว แต่พอได้ดูตัวหนังจริงกลับมีหลายสิ่งเหนือคาดทั้งการแสดงแบบเล่นใหญ่เอาให้ทะลุชั้นบรรยากาศโลกร้อน การพูดและย้ำทุกประโยคสำคัญแบบไม่ต้องการให้คนดูตกหล่น และการกระทำอันเหนือความคาดหมายของตัวละครที่ต้องบอกว่าหากเราสามารถอยู่กับหนังได้ตลอด 115 นาทีแล้วเราจะได้หัวเราะกับฉากที่หนังไม่ตั้งใจและใคร่ครวญถึงตรรกะที่พาตัวเองเข้ามาดูหนังเรื่องนี้แบบที่ไม่มีหนังเรื่องไหนเคยทำได้มาก่อน
ว่ากันถึงโครงเรื่องก่อนเลย ว่าหากเราคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะพาคนดูข้ามผ่านเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงหาใช่การปูพื้นตัวละครว่าเคยทำกรรมอะไรไว้ หรือบอกเล่าที่มาว่าป่านี้เป็นเช่นไร อาถรรพ์ของป่าที่ทำให้เหล่าตัวละครต้องเผชิญกับความสยองของน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยแล้วล่ะก็ต้องบอกว่าสิ่งที่คาดเดาไว้นั้นผิดหมด เพราะเอาจริง ๆ นี่คือหนังที่จะมาหักล้างทุกตำราของภาพยนตร์อย่างแท้จริง หนังสยองเรื่องอื่นป่าอาจจะดูทึม ๆ น่ากลัว ๆ แต่ปิดป่าหลอนกลับมีความวาไรตี้ตั้งแต่การตั้งค่าหน้ากล้องแบบช็อตที่ต่อกันไม่มีช็อตไหนที่สีภาพมีความเสถียรประหนึ่งไปทะเลาะกับคนแก้สีหนังมา ซึ่งหากเราไม่มองว่ามีจุดผิดพลาดในการถ่ายทำแล้วก็อาจมองในเชิงความหลากหลายของตัวละครเหมือนชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญก็ได้
หรือกระทั่งช่วงหลังของหนังเองก็แอบใส่สัญลักษณ์ผ่านเสียงพูดตัวละครที่ตั้งใจให้พวกเขาพล่ามทุกอย่างผ่านไมค์ไวร์เลสที่ช็อตอยู่ก็ทำให้คนดูเสียวสันหลังวาบว่านี่อาจเป็นอาถรรพ์จากการไม่เช็กอุปกรณ์ถ่ายทำหรือเป็นเพราะสิ่งลี้ลับอะไรกันแน่ แต่ทุกสิ่งอย่างก็ไม่หลอนเท่ากับตรรกะที่หนังสร้างขึ้นเองทั้งการเน้นย้ำประโยคเดิม ๆ ให้คนดูใส่ใจเช่น เมื่อมีเรื่องชกต่อยกัน อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยจะมาถามว่ามีเรื่องอะไรกันเหรอ แล้วผู้ปกครองนิสิตที่เป็นกะเทยก็เข้ามาถามอีกว่า นั่นสิมีเรื่องอะไรกันเหรอ ซึ่งหากฟังเผิน ๆ เราอาจมองว่านี่คือจุดบกพร่องในการกำกับแต่เอาเข้าจริงมันกำลังสอนเด็ก ๆ ว่าไม่มีใครใส่ใจเท่าผู้ใหญ่ที่มาถามอะไรกันซ้ำซ้อนอีกแล้ว เพราะหนังก็เอาอาการเดียวกันมาใส่ในตัวละครทุกตัวตอนอยู่ในป่าเช่นกัน
กระทั่งเหตุการณ์ในป่าเองก็มีอะไรหลอน ๆ เต็มไปหมดทั้งกิจกรรมที่ไม่มีอะไรมากกว่าการเดินจนเหนื่อยแล้วตั้งเต็นท์พักทั้งเรื่องจนจบที่มีคนตายซึ่งถือเป็นการพูดถึงเรื่องของวัฏสงสารได้อย่างล้ำลึก หรือกระทั่งตัวละครเอง ปิดป่าหลอน ก็สร้างปรัชญาในการดำเนินชีวิตประหลาด ๆ เพื่อสะท้อนว่าไม่ว่าโลกจะเลวแค่ไหนเราก็ต้องมีน้ำใจต่อกัน เช่นได้ยินเสียงเท้าคนยามดึกให้เอาขนมปังออกไปให้เขา และแม้ตอนถูกฆ่าจะกรี๊ดดังแค่ไหน คนในเต็นท์ที่ห่างกันไม่เกิน1 เมตรก็ไม่ได้ยินอยู่ดี หรือกระทั่งการพลิกชะตากรรมจากคนเลวมาเป็นคนดีของ อ๊อด ที่พยายามสละผลไม้ให้เพื่อน หนังก็ดูพยายามขยี้ดรามาตรงนี้ด้วยซีนแบ่งผลไม้ที่ดูยาวนานชั่วชีวิตประหนึ่งหนัง แอบเสิร์ต หรือกระทั่งการใส่ฉากเลิฟซีนวาบหวิวที่อยู่เหนือเหตุผลใด ๆ ก็เหมือนเป็นการคารวะหนังคัลต์ในตำนานของไทยอย่าง ดึก ดำ ดึ๋ย แบบป๋าเทพมาดูคงมีน้ำตาซึมอ่ะ เรียกได้ว่าหนังใส่อะไรมามากกว่าที่คิดแม้ไม่ช่วยให้เรื่องคืบหน้าหรือสร้างความสะพรึงกลัวใด ๆ ก็ตาม
ด้านตัวละครและการกำกับการแสดงของหนังก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากว่าผู้กำกับทำไมต้องเอาทุกอย่างให้ดูใหญ่ไปหมด แต่หากมองตรรกะว่าหากหนังเรื่องนี้ต้องไปเปิดในสมาร์ตโฟนแล้วล่ะก็ต้องพึ่งการแสดงเบอร์นี้นี่แหละ ตั้งแต่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ดูงงตั้งแต่ซีนแรกก็งงแบบเล่นใหญ่ลามไปถึงผู้ปกครองที่ไม่รู้ว่าลูกคนไหนเข้าไปก็เล่นใหญ่โต แม้เหมือนทีมงานเพิ่งไปหานักแสดงเอาหน้ากองถ่ายก็ตาม ส่วนการแนะนำคาแรกเตอร์ผู้กำกับก็ถือว่ามีน้ำใจอย่างยิ่งด้วยความที่กลัวผู้ชมจะงงก็เลยกำกับให้ตัวละครทุกตัวกระทำสิ่งเดิม ๆ ตลอด อย่างแป้งร่ำก็ส่องกระจกตลอดเวลาแบบไม่รู้ว่านางส่องดูอะไร หรืออย่างกีตาร์ที่มือสั่นตลอดเวลาพร้อมดนตรีประกอบชวนสะพรึงแบบไม่มีเหตุผลและคำอธิบาย นอกนั้นก็เป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นและจดจำทั้งเรื่องเช่น เอ ที่ปวดท้องมันทุกซีนที่เธอปรากฎตัวในป่า อ๊อด ที่ต้องทำตัวน่ารำคาญดูกร่างตลอดเวลาและชวนเปี๊ยกทะเลาะเพราะทั้งคู่ชอบ เอ เหมือนกัน ซึ่งผู้กำกับอาจคิดว่านี่คือการนำเสนอสัจธรรมของโลกที่เราต้องเผชิญทุกเมื่อเชื่อวันไม่ต่างจากโศกนาฏกรรมที่ทุกครั้งตัวละครอยู่คนเดียวแล้วกรี๊ดจะกลายเป็นศพที่มีน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยราดคออย่างน่าอนาถ แต่คงเป็นความมรณาอันแสนหวานนะเพราะทั้งเรื่องเราจะเกิดพุทธปัญญาอยากให้ตัวละครพ้นกรรมกันเร็ว ๆ ทุกครั้งที่ตัวละครปรากฎตัวเลยล่ะ
สรุปแล้ว WHO? หรือปิดป่าหลอน ถือเป็นหนังที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ ชื่อ WHO? ที่หนังตั้งหาใช่ว่าใครคือฆาตกร เพราะเมื่อดูหนังครบ 115 นาทีพร้อมด่ามันไปทั้งเรื่องแล้ว บางที่คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ใครมันอุตริอยากดูหนังเรื่องนี้ หรือ กระทั่งใครมันกล้าทำหนังแบบนี้จนต้องนั่งอ่านเอนด์เครดิตไม่ต่างจากตอนรอฉากพิเศษในหนังมาร์เวลเลยทีเดียว
Let’s just say that taking the general movie-watching logic cannot really be used to criticize this movie because what the filmmaker like Korrapat Thangsri wants to communicate with the audience needs to be interpreted on a deeper level.
Good lignes will also act on the skin. Alone, just telling a story through a storyline like a thriller movie family or a thriller Kornaph
then persuaded the audience to guess the wrong way It is a scene that kills each other instead of making them feel tingling. As for the comedy scenes that the movie intends to make people laugh, they have to be nervous and have to question their past life all the time about where to laugh.
At what moment in the movie do you have to laugh? Which is the truth of life that we have to face every day, especially when dealing with unexpected things.